วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555
บันทึกการเรียนครั้งที่ 7
บรรยากาศในห้องเรียน
เพื่อนในห้องขาดประมาณ 3-4 คน แอร์ในห้องเรียนเย็นสบายแต่ก็มีเพื่อนบางคนที่ชอบคุยกันเวลาอาจาย์สอนทำให้เพื่อนไม่มีสมาธิฟังเวลาอาจารย์สอน
และอาจารย์ก็ขาดช่วงสอนไม่ต่เนื่อง
การเรียนการสอน
- วันนี้อาจารย์ได้แจกกระดาษเช็คชื่อตามปกติ
- อาจารย์ได้ถามถึง
"เมื่อพูดถึงมาตรฐานจะนึกถึงอะไร " การวัด การได้รับการยอมรับ หลักเกณฑ์
คุณภาพ
- แล้วมาตรฐานมีความจำเป็นอย่างไร ทำให้เราสามารถเลือกได้ว่าอะไร ดีอะไรไม่ดีดูได้จากมาตรฐาน
-สสวท. ย่อมาจาก สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์เเละเทคโนโลยี
-อาจารย์ได้ถามว่าทำไมเด็กถึงไม่ชอบคณิตศาสตร์นักศึกษาตอบอาจ เป็นเพราะว่า ทัศนคติที่มีต่อคณิตศาสตร์ การเรียน การสอน การเลี้ยงดูจากพ่อ แม่
- แล้วมาตรฐานมีความจำเป็นอย่างไร ทำให้เราสามารถเลือกได้ว่าอะไร ดีอะไรไม่ดีดูได้จากมาตรฐาน
-สสวท. ย่อมาจาก สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์เเละเทคโนโลยี
-อาจารย์ได้ถามว่าทำไมเด็กถึงไม่ชอบคณิตศาสตร์นักศึกษาตอบอาจ เป็นเพราะว่า ทัศนคติที่มีต่อคณิตศาสตร์ การเรียน การสอน การเลี้ยงดูจากพ่อ แม่
*ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์
ได้แก่ การแก้ไขปัญหา การให้เหตุผล การสื่อสาร
การสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์และการนำเสนอ การเชื่อมโยงความรู้ต่างๆทางคณิตศาสตร์และเชื่อมโยงคณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่นๆ
และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
-แล้วอาจารย์ก็ให้ไปอ่านมาตรฐานในหนังสือ "คู่มือกรอบมาตรฐาน การเรียนรู้คณิตศาสตร์ปฐมวัย" ให้เพื่อนๆฟัง เเละได้อธิบายให้นักศึกษาฟัง
*เพราะอาจาย์ติดธุระต้องไปประชุมด่วน
-แล้วอาจารย์ก็ให้ไปอ่านมาตรฐานในหนังสือ "คู่มือกรอบมาตรฐาน การเรียนรู้คณิตศาสตร์ปฐมวัย" ให้เพื่อนๆฟัง เเละได้อธิบายให้นักศึกษาฟัง
*เพราะอาจาย์ติดธุระต้องไปประชุมด่วน
วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555
บันทึกการเรียนครั้งที่ 6
บรรยากาศในห้องเรียน
วันนี้เพื่อนในห้องค่อนข้างพากันมาน้อย
แล้วก็ทะยอนพากันเข้ามาเป็นกลุ่มๆ ทำให้เพื่อนในห้องเสียสมาธิในการฟังอาจารย์ และอาจารย์ก็พูดขาดช่วง
แต่พอสักพักก็เริ่มลงตัว
การเรียนการสอน
- อาจารย์ให้ส่งการบ้านที่สัปดาห์ก่อนส่งไป
ถ้าใครส่งช้าอาจารย์ก็จะไม่รับงาน เพราะอาจารย์จะเริ่มสอนเรื่องใหม่ (งานคู่
นางสาวนุชนารถ ภาคภูมิ กับนางสาวชนนิภา วัฒนาภาเกษม)
- อาจารย์ได้พูดถึงเรื่อง
กล่องที่ให้นักศึกษานำมาว่าจะนำกล่องนี้ไปสอนเด็กได้อย่างไร
กล่องสามารถเป็นเครื่องมือในการวัดได้
การเปรียบเทียบขนาดของกล่อง
การจัดกลุ่ม
-จากนั้นอาจารย์ให้จับกลุ่มละ
11 คน และให้นักศึกษานำกล่องที่เตรียมมาต่อเป็นรูปอะไรก็ได้
โดย
กลุ่มที่ 1 สามารถพูดคุยกันได้ปรึกษาหาลือกันได้ว่าจะทำรูปอะไร
กลุ่มที่ 2 พูดคุยกันได้แต่ลงมาต่อเติมรูปทีละคน
กลุ่มที่ 3 ห้ามพูดคุยกันแล้วลงมาทำทีละคน
กลุ่มที่ 1 ต่อเป็นรูปหุ่นยนต์ 2012
กลุ่มที่ 2 ต่อเป็นรูปบ้าน
กลุ่มที่ 3 ต่อเป็นรูปชานชลารถไฟ
กลุ่มที่ 2 ต่อเป็นรูปบ้าน
กลุ่มที่ 3 ต่อเป็นรูปชานชลารถไฟ
- อาจารย์ให้ช่วยกันคิดอุปกรณ์ที่สามารถนำมาทำสื่อคณิตศาสตร์ได้
เปลือกหอย, กล่อง, กล่องนม, กระดาษ, ไม้ไอศกรีม, ขวด, กระดุม, ปฏิทิน, ถ้วยปีโป้, ฝาขวด, ไม้เสีบยลูกชิ้น, เปลือกลูกอม
-จนสรุปได้ว่าจะนำฝาขวดน้ำมาประดิษฐ์ กลุ่มเรานำฝาขวดน้ำมาทำเป็นการนับลูกคิด
วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
บันทึกการเรียน ครั้งที่5
สิ่งที่เรียนในวันนี้ อาจารย์ ทบทวนบทเรียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในเรื่องของขอบข่ายของคณิตศาสตร์
โดยการยกตัวอย่าง
( นิตยา ประพฤติกิจ 2541 : 17 – 19 )
<!--[if !supportLists]-->1.
<!--[endif]-->การนับ
สิ่งที่ได้คือ = จำนวน
คิด สัญลักษณ์ จำนวนกำกับเลขฮินดูอารบิก สัญลักษณ์
เรียงลำดับ
<!--[if !supportLists]-->2.
<!--[endif]-->ตัวเลข = เป็นสัญลักษณ์เพื่อกำกับค่า เพื่อสื่อสาร
<!--[if !supportLists]-->3.
<!--[endif]-->การจับคู่ = เหมือนกัน รูปร่าง
รูปทรง จำนวน
<!--[if !supportLists]-->4.
<!--[endif]-->ประเภท = กำหนดเกณฑ์
เช่น สัตว์บก สัตว์น้ำ
<!--[if !supportLists]-->5.
<!--[endif]-->การเปรียบเทียบ = หาค่า , เปรียบเทียบ , ให้เด็กลงมือกระทำ ต้องสามารถจับต้องได้เป็น 3 มิติ
การเปรียบเทียบให้เด็กต้องจับคู่เป็น 1:1
ตามทฤษฎีของเพียเจต์
ต้องให้เด็กลงมือปฏิบัติจริง เพื่อนำไปสู่นามธรรม
<!--[if !supportLists]-->6.
<!--[endif]-->จัดลำดับ = หาค่าปริมาณ
เปรียบเทียบ เรียงลำดับตัวเลข เช่น
ก่อน - หลัง
เตี้ย - สูง
<!--[if !supportLists]-->7.
<!--[endif]-->รูปทรงและเนื้อหา = รูปทรงมีมิติ มีเนื้อที่ ปริมาณ
<!--[if !supportLists]-->8.
<!--[endif]-->การวัด = ค่าปริมาณ ความยาว ( อุปกรณ์
เช่น ไม่บรรทัด ) หน่วย
เครื่องมือ
<!--[if !supportLists]-->9.
<!--[endif]-->เซต = การจับกลุ่ม มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน
<!--[if !supportLists]-->10.
<!--[endif]-->เศษส่วน = เด็กต้องรู้จักคำว่าทั้งหมด ปูพื้นฐานของเศษส่วน เช่น นักเรียนเอาขนมเค้กไปกินครึ่งหนึ่งของทั้งหมด การแบ่งเด็ก
การแบ่งไม่เท่ากัน
ต้องรู้จักคำว่า ครึ่ง เท่าๆกัน
ให้เด็กลงมือทำเอง
<!--[if !supportLists]-->11.
<!--[endif]-->ทำตามแบบและลวดลาย
= บางอย่างเด็กต้องทำตามแบบเพื่อสื่อสารให้เหมือนกัน เช่น
การเขียนตัวเลข
ต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ลงมือกระทำ และให้ความอิสรเสรี
<!--[if !supportLists]-->12.
<!--[endif]-->อนุรักษ์ = เช่น การเปรียบระดับน้ำในแก้ว แก้วสูง – เตี้ย เมื่อนำน้ำ 2 แก้วที่มีขนาดเท่ากัน
2 แก้ว
โดยแก้วหนึ่งใส่แก้วสูง อีกแก้วใส่แก้วเตี้ย เด็กจะตอบตามที่ตาเห็นว่า
น้ำที่อยู่ในแก้วสูงมากว่าแก้วเตี้ย
เด็กจะตอบตามรูปธรรม และต่อไปเด็กจะเรียนรู้ในรูปแบบที่เป็น กึ่งสัญลักษณ์ ,
นามธรรม , รูปภาพ เช่น
มีดินน้ำมัน 2 ก้อน ก้อนละเท่าๆกัน
ดินน้ำมันสีเขียวกับสีส้ม นำดินน้ำมันมาปั้นเป็นรูปงู สีเขียวยาว 3 นิ้ว
สี้ส้ม 3 นิ้ว แล้วน้ำสีส้มวางเยื้องไปจากสีเขียวเด็กจะตอบว่าสีใดยาวกว่ากัน
? เด็กตอบว่าสีส้มยาวกว่าสีเขียว เด็กจะตอบตามที่ตาเห็น
( เยาวภา เตชะ )
<!--[if !supportLists]-->1.
<!--[endif]-->การจัดกลุ่มหรือเซต
<!--[if !supportLists]-->2.
<!--[endif]-->จำนวน 1 -10
<!--[if !supportLists]-->3.
<!--[endif]-->ระบบจำนวน
<!--[if !supportLists]-->4.
<!--[endif]-->ความสัมพันธ์ระหว่างเซตต่างๆ
<!--[if !supportLists]-->5.
<!--[endif]-->การรวมกลุ่ม
<!--[if !supportLists]-->6.
<!--[endif]-->ลำดับที่ เรียงลำดับ
<!--[if !supportLists]-->7.
<!--[endif]-->การวัด ( หาค่า
ปริมาณ) ความสูง ความยาว น้ำหนัก
อากาศ อุณหภูมิ
<!--[if !supportLists]-->8.
<!--[endif]-->รูปทรงเลขาคณิต
<!--[if !supportLists]-->9.
<!--[endif]-->สถิติและกราฟ ( การเพิ่มขึ้น ) รูปภาพที่แสดงข้อมูล
งานที่มอบหมาย
<!--[if !supportLists]-->1.
<!--[endif]-->จับคู่ 2
คน ช่วยกันคิด 12 ข้อ
<!--[if !supportLists]-->2.
<!--[endif]-->ให้นำกล่องที่มีรูปทรงอย่างไรก็ได้มา เช่น
กล่องยาสีฟัน กล่องครีม
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
บันทึกการเรียนครั้งที่ 3
วันนี้อาจารย์ให้นั่งเปลี่ยนกลุ่มและให้ทำงานกลุ่มร่วมกัน
โดยการนำงานสัปดาห์ที่แล้วที่ทำเป็นงานเดี่ยวมาทำเป็นงานกลุ่ม
เริ่มจากความหมายของคณิตศาสตร์
สรุปโดย
นางสาว
พลอยไพลิน อาจหาญ
นางสาว
ชลินดา คำจันทร์
นางสาว
สนฤดี โพธิภะ
ความหมายของคณิตศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับตัวเลข
มีการใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์เป็นภาษาสากลที่มีโครงสร้างแน่นอนและมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกัน ( อ้างอิงจาก มาร์เชล สโตน,ฉวีวรรณ พฤติกรรมการสอนคณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษาและศักดิ์ดา บุญโต ความคิดเชิงวิเคราะห์ )
จุดมุ่งหมายของคณิตศาสตร์
เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานในรคิดและคำนวณ สามารถนำประสบการณ์ทางด้านความรู้ ความคิด และทักษะที่ได้ไปใช้ในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ และใช้ในชีวิตประจำวัน
จุดมุ่งหมายของคณิตศาสตร์
เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานในรคิดและคำนวณ สามารถนำประสบการณ์ทางด้านความรู้ ความคิด และทักษะที่ได้ไปใช้ในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ และใช้ในชีวิตประจำวัน
ทฤษฎีของคณิตศาสตร์
ลำดับของการเรียนการสอนในคณิตศาสตร์ เริ่มจากการทบทวนความรู้เดิม แล้วสอนความรู้ใหม่ด้วยการแสดงความคิดความพร้อม
การฝึกและฝึกทักษะการเสริมแรงและการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ขอบเขตการเรียนการสอนคณิตศาสตร์
ในการเรียนการสอนคณิตศาสตร์
ครูและนักเรียนต้องมีความรู้ความเข้าใจพื้นฐานในทุกเรื่องก่อน
ซึ่งเนื้อหาคณิตศาสตร์แต่ละพื้นฐานต้องมีความสัมพันธ์กันและเหมาะสมกับวัย
วุฒิภาวะของผู้เรียน
หลักการทางคณิตศาสตร์
1. กำหนดจุดมุ่งหมาย
2. จัดกิจกรรมให้หลากหลาย
3. การเรียนรู้จากการค้นพบ
4. การจัดกิจกรรมที่มีระบบ
5. ฝึกหัดหลังจากการเรียนรู้
ดังนั้น กระบวนการสอนถือว่า
เป็นสิ่งที่สำคัญสุด เพราะถ้าครูทำแบบฝึกหัดแล้วเฉลย เด็กจะไม่ได้ฝึกทักษะ
ทำให้เด็กเกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากเรียน และคิดว่าคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ยาก
วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
บันทึกการเรียนครั้งที่ 2
บรรยากาศในห้องเรียน
ห้องเรียนสะอาดเรียบร้อย เปิดแอร์หนาวไปหน่อย อุปรกณ์การเรียนการสอนก็พร้อมที่จะเรียน
การสอน สนุกสนาน อาจารย์ได้ให้แสดงความคิดเห็นร่วมกับอาจารย์ แล้วช่วยกันตอบได้ดี
การเรียนการสอน
-อาจารย์ได้แจกกระดาษให้คนละแผ่น ให้เขียนตามคำบอก เป็นภาษาอังกฤษ
ห้องเรียนสะอาดเรียบร้อย เปิดแอร์หนาวไปหน่อย อุปรกณ์การเรียนการสอนก็พร้อมที่จะเรียน
การสอน สนุกสนาน อาจารย์ได้ให้แสดงความคิดเห็นร่วมกับอาจารย์ แล้วช่วยกันตอบได้ดี
การเรียนการสอน
-อาจารย์ได้แจกกระดาษให้คนละแผ่น ให้เขียนตามคำบอก เป็นภาษาอังกฤษ
- อาจารย์ได้พูดถึงเรื่องนักทฤษฎีตามหลักด้านสติปัญญา
นั้นก็คือ เพียเจต์ และบรูเนอร์ ว่า คณิตศาสตร์เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรา จึงยกตัวอย่างสิ่งที่อยู่รอบตัวเราในห้องเรียนว่ามีอะไรบ้าง
-แล้วอาจารย์ได้สั่งงานให้ไปค้นคว้าหาหนังสือคณิตศาสตร์อะไรก็ได้ที่สำนักวิทยบริการ
2-3เล่ม
จะต้องมีชื่อหนังสือ /ผู้แต่ง /ปี/สำนักพิมพ์
-หาความหมายของคณิตศาสตร์ 1เล่ม ต้องมีชื่อหนังสือ /ผู้แต่ง /ปี/สำนักพิมพ์
-หาจุดมุ่งหมายของคณิตศาสตร์ ต้องมีชื่อหนังสือ /ผู้แต่ง /ปี/สำนักพิมพ์
-การสอนหรือการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์
-ขอบข่ายของคณิตศาสตร์
-หลักการสอนของคณิตศาสตร์
จะต้องมีชื่อหนังสือ /ผู้แต่ง /ปี/สำนักพิมพ์
-หาความหมายของคณิตศาสตร์ 1เล่ม ต้องมีชื่อหนังสือ /ผู้แต่ง /ปี/สำนักพิมพ์
-หาจุดมุ่งหมายของคณิตศาสตร์ ต้องมีชื่อหนังสือ /ผู้แต่ง /ปี/สำนักพิมพ์
-การสอนหรือการจัดประสบการณ์คณิตศาสตร์
-ขอบข่ายของคณิตศาสตร์
-หลักการสอนของคณิตศาสตร์
วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
บันทึกการเรียน ครั้งที่1
ให้นักศึกษาเขียนประโยคมา 2 ประโยค
ที่แสดงให้รู้ว่าคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยคืออะไร
และเป้าหมายในการจัดประสบการณ์ทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
ทางวัดประสบการณ์มีอะไรบ้าง
การจัดประสบการณ์
คณิตศาสตร์
เด็กปฐมวัย
วิธีการเรียนรู้
พัฒนาการ ( ความอยาก ความต้องการ วุฒิภาวะ ความพร้อม)
การเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปตามลำดับขั้นอย่างต่อเนื่อง
ทฤษฎีที่ตรงตามพัฒนาการ ( เพียเจต์และบรูเนอร์)
เพียเจต์เชื่อว่าคนเราทุกคนตั้งแต่เกิดมา พร้อมที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและโดยธรรมชาติของมนุษย์เป็นผู้พร้อม
ที่ จะมีกริยากรรมหรือเริ่มกระทำก่อน (Active) นอกจากนี้เพียเจต์ถือว่ามนุษย์เรามีแนวโน้มพื้นฐานที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด
2 ชนิด คือ การจัดและรวบรวม(Oganization) และ การปรับตัว (Adaptation) ซึ่งอธิบายดังต่อไปนี้
การจัดและรวบรวม (Oganization) หมายถึง การจัดและรวบรวมกระบวนการต่างๆภายใน เข้าเป็นระบบอย่างต่อเนื่อง เป็นระเบียบ แและมีการปรับปรุงเปลียนแปลงอยู่ตลอดเวลาตราบที่ ยังมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
การปรับตัว (Adaptation) หมายถึง การปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมเพื่ออยู่ในสภาพสมดุล การปรับตัวประกอบด้วยกระบวนการ 2 อย่าง คือ
1. การซึมซาบหรือดูดซึม (Assimilation) เมื่อ มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมก็จะซึมซาบหรือดูดซึมประสบการณ์ใหม่ ให้รวมเข้าอยู่ในโครงสร้างของสติปัญญา(Cognitive Structure) โดยจะเป็นการตีความ หรือการรับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม
2.การปรับโครงสร้างทางปัญญา (Accomodation) หมาย ถึง การเปลี่ยนแบบโครงสร้างของเชาว์ปัญญาที่มีอยู่แล้วให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม หรือประสบการณ์ใหม่ หรือเป็นการเปลี่ยนแปลงความคิดเดิมให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมใหม่ ซึ่งเป็นความสามารถในการปรับโครงสร้างทางปัญญา
การจัดและรวบรวม (Oganization) หมายถึง การจัดและรวบรวมกระบวนการต่างๆภายใน เข้าเป็นระบบอย่างต่อเนื่อง เป็นระเบียบ แและมีการปรับปรุงเปลียนแปลงอยู่ตลอดเวลาตราบที่ ยังมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
การปรับตัว (Adaptation) หมายถึง การปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมเพื่ออยู่ในสภาพสมดุล การปรับตัวประกอบด้วยกระบวนการ 2 อย่าง คือ
1. การซึมซาบหรือดูดซึม (Assimilation) เมื่อ มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมก็จะซึมซาบหรือดูดซึมประสบการณ์ใหม่ ให้รวมเข้าอยู่ในโครงสร้างของสติปัญญา(Cognitive Structure) โดยจะเป็นการตีความ หรือการรับข้อมูลจากสิ่งแวดล้อม
2.การปรับโครงสร้างทางปัญญา (Accomodation) หมาย ถึง การเปลี่ยนแบบโครงสร้างของเชาว์ปัญญาที่มีอยู่แล้วให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม หรือประสบการณ์ใหม่ หรือเป็นการเปลี่ยนแปลงความคิดเดิมให้สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมใหม่ ซึ่งเป็นความสามารถในการปรับโครงสร้างทางปัญญา
รากฐานทางปรัชญาของทฤษฎีมาจากความพยายามที่จะเชื่อมโยงประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ใหม่ ด้วยกระบวนการที่พิสูจน์อย่างมีเหตุผล เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจาก การไตร่ตรอง ซึ่งถือเป็นปรัชญาปฏิบัตินิยมประกอบกับหลักฐานทางจิตวิทยาการเรียนรู้ที่มี อิทธิพลต่อแนวคิดของเพียเจต์เอง ซึ่งเชื่อว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นจาก การปรับตัวเข้าสู่สภาวะสมดุลย์ (Equilibrium) ระหว่างอินทรีย์และสิ่งแวดล้อม สรุปแล้วในพัฒนาการเชาวน์ปัญญาบุคคลต้องมีการปรับตัวซึ่งประกอบด้วยกระบวนการสำคัญ 2 อย่าง คือ การดูดซึมหรือซึมซาบเข้าสู่โครงสร้างทางปัญญา (Assimilation) และ การปรับโครงสร้างทางสติปัญญา (Accomodation เพีย เจต์ กล่าวว่า ระหว่างระยะเวลาตั้งแต่ทารกจนถึงวัยรุ่น คนเราจะค่อยๆสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้นตามลำดับขั้น โดยเพียเจต์ได้แบ่งลำดับขั้นของพัฒนาการเชาวน์ปัญญาของมนุษย์ ไว้ 4 ขั้น ซึ่งเป็นขั้นพัฒนาการเชาวน์ปัญญา ดัง
ขั้นที่1...Sensorimotor (แรกเกิด - 2 ขวบ) เพียเจต์ เป็นนักจิตวิทยาคนแรกที่ได้ศึกษาระดับเชาวน์ปัญญาของเด็กวัยนี้ไว้อย่าง ละเอียดจากการสังเกตบุตร 3 คน โดยทำบันทึกไว้และสรุปว่าวัยนี้เป็นวัยที่เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม โดยประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวของอวัยวะ ต่างๆของร่างกาย
ขั้นที่2...Preoperational (อายุ18 เดือน - 7 ปี) เด็ก ก่อนเข้าโรงเรียนและวัยอนุบาลมีระดับเชาวน์ปัญญาอยู่ในขั้นนี้ เด็กวัยนี้มีโครงสร้างของสติปัญญา(Structure) ที่จะใช้สัญลักษณ์แทนวัตถุสิ่งของที่อยู่รอบๆตัว ได้ หรือ มีพัฒนาการทางด้านภาษา เด็กวัยนี้จะเริ่มด้วยการพูดเป็นประโยคและเรียนรู้คำต่างๆเพิ่มขึ้น เด็กจะได้รู้จักคิด อย่างไรก็ตาม ความคิดของของเด็กวัยนี้ยังมีข้อจำกัดหลายอย่างเด็กก่อนเข้าโรงเรียนและวัย
อนุบาล มีระดับเชาวน์ปัญญาอยู่ในขั้นนี้ เด็กวัยนี้มีโครงสร้างของสติปัญญา(Structure) ที่จะใช้สัญลักษณ์แทนวัตถุสิ่งของที่อยู่รอบๆตัวได้ หรือมีพัฒนาการทางด้านภาษาเด็กวัยนี้จะเริ่มด้วยการ พูดเป็นประโยคและเรียนรู้คำต่างๆเพิ่มขึ้นเด็กจะได้รู้จักคิด อย่างไรก็ตามความคิดของของเด็กวัยนี้ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง
ขั้นที่3...Concrete Operations (อายุ 7 - 11 ปี) พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้แตกต่างกันกับเด็กในขั้น Preperational มาก เด็กวัยนี้จะสามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งกฎเกณฑ์ในการ แบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้ คือ เด็กจะสามารถที่จะอ้างอิงด้วยเหตุผลและไม่ขึ้นกับการรับรู้จากรูปร่างเท่า นั้นเด็กวัยนี้สามารถแบ่งกลุ่ม โดยใช้เกณฑ์หลายๆอย่าง และคิดย้อนกลับ (Reversibility) ได้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกิจกรรมและ ความสัมพันธืของตัวเลขก็เพิ่มมากขึ้น
ขั้นที่4...Formal Operations (อายุ 12 ปีขึ้นไป) ในขั้นนี้พัฒนาการเชาวน์ปัญญาและความคิดเห็นของเด็กเป็นขั้นสุดยอดคือ เด็กในวัยนี้จะเริ่มคิดเป็นผู้ใหญ่ ความคิดแบบเด็กสิ้นสุดลง เด็กสามารถที่จะคิดหาเหตุผลนอกเหนือไปจากข้อมูลที่มีอยู่ สามารถที่จะคิดเป็นนักวิทยาศาสตร์ สามารถที่จะตั้งสมมุติฐานและทฤษฎีและเห็นว่าความจริงที่เห็นด้วยกับการรับ รู้ไม่สำคัญเท่ากับการคิดถึงสิ่งที่อาจเป็นไปได้ (Possibility)เพียเจต์ได้สรุปว่า"เด็กวัยนี้เป็นผู้ที่คิดเหนือไป กว่าสิ่งปัจจุบันสนใจที่จะสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับ ทุกสิ่งทุกอย่าง และมีความพอใจที่จะคิดพิจารณาเกี่ยวกับกับสิ่งที่ไม่มีตัวตนหรือสิ่งที่เป็นนามธรรม
ขั้นที่3...Concrete Operations (อายุ 7 - 11 ปี) พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้แตกต่างกันกับเด็กในขั้น Preperational มาก เด็กวัยนี้จะสามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งกฎเกณฑ์ในการ แบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้ คือ เด็กจะสามารถที่จะอ้างอิงด้วยเหตุผลและไม่ขึ้นกับการรับรู้จากรูปร่างเท่า นั้นเด็กวัยนี้สามารถแบ่งกลุ่ม โดยใช้เกณฑ์หลายๆอย่าง และคิดย้อนกลับ (Reversibility) ได้ ความเข้าใจเกี่ยวกับกิจกรรมและ ความสัมพันธืของตัวเลขก็เพิ่มมากขึ้น
ขั้นที่4...Formal Operations (อายุ 12 ปีขึ้นไป) ในขั้นนี้พัฒนาการเชาวน์ปัญญาและความคิดเห็นของเด็กเป็นขั้นสุดยอดคือ เด็กในวัยนี้จะเริ่มคิดเป็นผู้ใหญ่ ความคิดแบบเด็กสิ้นสุดลง เด็กสามารถที่จะคิดหาเหตุผลนอกเหนือไปจากข้อมูลที่มีอยู่ สามารถที่จะคิดเป็นนักวิทยาศาสตร์ สามารถที่จะตั้งสมมุติฐานและทฤษฎีและเห็นว่าความจริงที่เห็นด้วยกับการรับ รู้ไม่สำคัญเท่ากับการคิดถึงสิ่งที่อาจเป็นไปได้ (Possibility)เพียเจต์ได้สรุปว่า"เด็กวัยนี้เป็นผู้ที่คิดเหนือไป กว่าสิ่งปัจจุบันสนใจที่จะสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับ ทุกสิ่งทุกอย่าง และมีความพอใจที่จะคิดพิจารณาเกี่ยวกับกับสิ่งที่ไม่มีตัวตนหรือสิ่งที่เป็นนามธรรม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)